วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

    สงครามครูเสดครั้งที่ 1
    จากจุดเริ่มต้นของศรัทธาและความเชื่อในศาสนาที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่สุดท้ายกลายเป็นมหาสงครามที่ต่อเนื่องยาวนานนับศตวรรษระหว่างคริสเตียนและมุสลิม ในแผ่นดินที่ถูกเรียกว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
(นครเยรูซาเล็ม)
ในยุคกลาง ชาวคริสต์ในยุโรปเชื่อว่า นครเยรูซาเล็มในดินแดนปาเลสไตน์อันเป็นสถานที่ซึ่งพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนและเป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ชาวมุสลิมก็ถือว่า เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้กลับสู่สรวงสวรรค์ ดังนั้นนครแห่งนี้จึงมีความสำคัญต่อชาวมุสลิมเช่นกัน
ความที่เยรูซาเล็มเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเยซูคริสต์ จึงทำให้มีชาวคริสต์จำนวนมากเดินทางไปจาริกแสวงบุญยังนครแห่งนี้ และแม้ว่าในศตวรรษที่ 7 ชาวมุสลิมจะเข้ามายึดครองนครเยรูซาเล็มรวมทั้งดินแดนแถบนี้เอาไว้ แต่ชาวคริสต์ก็ยังได้รับอนุญาตให้เดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนแห่งนี้ได้ ทว่าเมื่อชาวเซลจุคเติร์กซึ่งเป็นมุสลิมอีกพวกหนึ่งได้เข้าครอบครองปาเลสไตน์ในศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์ที่เดินทางไปจาริกแสวงบุญก็ถูกคุกคามอย่างรุนแรงจากผู้ปกครองใหม่ของดินแดนแห่งนี้
    
ในปี ค.ศ. 1095 การขยายอำนาจของชาวเซลจุกเติร์กทำให้จักรพรรดิอเล็กซิอุสที่1 แห่งอาณาจักรไบแซนไทน์รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังมาเยือนอาณาจักรของพระองค์ ทว่ากำลังทหารของไบแซนไทน์ก็ไม่เข้มแข็งพอจะทำศึกกับชาวเติร์กได้ ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิอเล็กซิอุสทรงทราบข่าวที่ชาวเติร์กคุกคามบรรดาผู้แสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ก็ได้ส่งข่าวนี้ไปยังกรุงโรมทันที
เมื่อพระสันตปะปาเออร์บันที่สองแห่งกรุงโรมทรงทราบเรื่อง ก็ทรงเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันเหมาะที่คริสตจักรจะขยายอำนาจเข้าครอบครองดินแดนปาเลสไตน์ พระองค์จึงทรงมีประกาศเรียกร้องให้ชาวคริสต์ทั้งมวลในยุโรปรวมพลังกันทำสงครามเพื่อชิงนครเยรูซาเล็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา และนี่เองคือ จุดเริ่มต้นของ มหาสงครามครูเสด โดยคำว่า ครูเสด (Crusade) หมายถึง ไม้กางเขน ซึ่งถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเหล่านักรบชาวคริสต์จากยุโรปที่เข้าร่วมในมหาสงครามครั้งนี้ ทั้งนี้สงครามครูเสดนั้น มิได้หมายถึงเฉพาะสงครามระหว่างชาวคริสต์กับมุสลิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสงครามระหว่างชาวคริสต์ต่างนิกายและสงครามระหว่างชาวคริสต์กับพวกที่นับถือศาสนาอื่นๆอีกด้วย อย่างไรก็ตาม สงครามครูเสดที่ยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดก็คือ สงครามเพื่อแย่งชิงนครเยรูซาเล็มและดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ประกาศเรียกร้องของพระสันตปะปาส่งผลให้เกิดกระแสขานรับจากมหาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้การที่องค์สันตปะปาได้ออกประกาศว่า ผู้ที่ไปร่วมรบในสงครามศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะได้รับมอบสิทธิพิเศษในการพ้นจากผิดบาปทั้งมวล ทำให้ชาวคริสต์มากมายสนใจเข้าร่วมเป็นนักรบครูเสด เนื่องจากเชื่อกันว่า หากตนรอดกลับมาจากสงครามครั้งนี้ก็จะได้มีชีวิตที่สงบสุขและไร้ซึ่งผิดบาปทั้งปวง หรือหากว่าโชคร้ายต้องตายในสงคราม วิญญาณของพวกเขาก็จะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์  อีกทั้งในเวลานั้น ยังมีข่าวลือแพร่ไปทั่วยุโรปว่า ดินแดนของชาวมุสลิมมีทรัพย์สมบัติมากมายอีกด้วย ซึ่งยิ่งกระตุ้นความสนใจของผู้คนทั้งหลายเพิ่มมากขึ้น
ทั้งแรงศรัทธารวมกับความปรารถนาในความมั่งคั่ง ได้ทำให้ทั้งขุนนางและประชาชนพากันหลั่งไหลมาเข้าร่วมทัพเพื่อเตรียมยกพลไปทำสงครามกับชาวเติร์ก โดยนักประวัติศาสตร์ได้เรียก สงครามครูเสดครั้งนี้ว่า สงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง ซึ่งถือกันว่าเป็นสงครามครูเสดครั้งที่สำคัญที่สุด

ในสงครามครั้งนี้ ได้มีประชาชนจำนวนมากรวมกำลังกันภายใต้การนำของผู้นำที่มีชื่อว่า ปีเตอร์ จ้าวนักพรต (Peter the Hermit) และ วอลเตอร์ ผู้ยากไร้ (Walter the penniless) โดยทัพประชาชนนี้มีกำลังรบมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ซึ่งกองทัพประชาชนได้เคลื่อนพลเป็นทัพหน้าออกไปก่อนเหล่าขุนนางที่ยังคงจัดทัพไม่เสร็จ ทว่าชาวบ้านเหล่านี้ มีเพียงศรัทธาแต่ขาดแคลนทั้งเสบียงอาหารและอาวุธที่ดีรวมทั้งไม่มียุทธวิธีในการรบ อีกทั้งยังขาดความรู้เกี่ยวกับดินแดนที่พวกตนจะเดินทางไปอีกด้วย ทำให้เมื่อเคลื่อนทัพเข้าเขตเอเชียไมเนอร์และได้เผชิญหน้ากับกองทัพเซลจุคเติร์กแล้ว กองทัพประชาชนก็ถูกพวกเติร์กสังหารหมู่จนเกือบสิ้นทัพ

ในเวลาต่อมา เมื่อกองทัพใหญ่ของเหล่าขุนนางซึ่งมีทหารจำนวนห้าหมื่นนายภายใต้การนำของสามแม่ทัพ อันได้แก่ โรเบิร์ต เคอโทส ดยุคแห่งนอมังดี โอรสของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 แห่งอังกฤษ, กอดฟรีย์แห่งบูวียอง และบอลวินด์แห่งเอเดสสา เคลื่อนพลมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ได้เข้าโจมตีกองทัพเติร์กจนแตกพ่ายก่อนจะเข้ายึดนครนิคาเอียและแอนติออค จากนั้นจึงเคลื่อนทัพไปถึงนครเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 1099

อิฟติคาร แม่ทัพชาวอียิปต์ที่รักษานครเยรูซาเล็มได้นำทหารเซลจุคเติร์กต่อสู้กับพวกครูเสด แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน  ในที่สุด พวกครูเสดก็สามารถทลายกำแพงนครเยรูซาเล็มและบุกเข้าเมืองได้สำเร็จ แม่ทัพอิฟติคารยอมจำนนต่อทัพครูเสดและถูกปล่อยตัวออกจากเมือง ทั้งนี้หลังจากทัพครูเสดบุกเข้านครเยรูซาเล็มได้แล้ว ก็ได้ปล้นสะดมภ์และสังหารหมู่ชาวเมืองทั้งผู้ใหญ่และเด็ก นับแสนคน 



หลังจากยึดนครเยรูซาเล็มได้แล้ว กอดฟรีย์แห่งบูวียองได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม แต่ก็ครองราชย์ได้เพียงหนึ่งปีก็สิ้นพระชนม์โดยไร้รัชทายาท ทำให้บอลวินด์แห่งเอเดสสาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ที่สองแห่งอาณาจักรเยรูซาเล็มและขยายอาณาเขตเข้าครอบครองดินแดนเกือบตลอดแนวชายฝั่งจากนครเยรูซาเล็มขึ้นไปจนถึพรมแดนอาร์เมเนีย

   สงครามครูเสดครั้งที่สอง
ในปี ค.ศ. 1144 สงครามครูเสดครั้งที่สองได้ก่อตัวขึ้น โดย อิมาดุดดีน ชางกี ซึ่งเป็นอดีตแม่ทัพที่ได้รับมอบอำนาจจากสุลต่านของเซลจุคเติร์กให้ปกครองเมืองอเลปโปและได้ตั้งตนเป็นอิสระหลังการล่มสลายของราชวงศ์เดิม ได้นำกองทัพเข้าโจมตีนครเอเดสสาของฝ่ายครูเสดและสามารถยึดเมืองไว้ได้ในวันที่ 24 เดือนธันวาคมปีเดียวกัน จากนั้นจึงเคลื่อนทัพเข้ายึดซีเรียและโจมตีกองทัพครูเสดอีกครั้ง ทว่าสุลต่าน  ชางกี ได้ถูกทาสของตนลอบสังหารในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1146 บุตรชายของเขา นามว่า นูรุดดีน ได้ขึ้นเป็นสุลต่านของราชวงศ์ชางกี (ตั้งชื่อตามผู้นำคนแรก) ผู้นำฝ่ายมุสลิมต่อจากบิดาและทำสงครามกับพวกครูเสดต่อไป

ในเวลานั้น ทางด้านยุโรป นักบุญเซนเบอร์นาร์ดได้เทศนาปลุกระดมให้ชาวคริสต์ร่วมกันปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งการเทศนาในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้มีขุนนางและสามัญชนจำนวนมากเข้ามาร่วมทัพครูเสดแล้ว ยังมีกษัตริย์อีกสองพระองค์คือ มีพระเจ้าหลุยส์ที่ 7 แห่งฝรั่งเศสและพระเจ้าคอนราดที่ 3 แห่งเยอรมัน เสด็จนำทัพมาร่วมทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ด้วย ซึ่งไพร่พลที่เข้าร่วมรบในครูเสดครั้งที่สองนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 90,000 คน
สงครามครูเสดครั้งที่สองเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1147 และจบลงเมื่อปี ค.ศ. 1149 ด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของฝ่ายครูเสด อย่างไรก็ตาม ในสงครามครั้งนี้ ฝ่ายครูเสดยังคงรักษานครเยรูซาเล็มเอาไว้ได้
สำหรับสาเหตุความพ่ายแพ้ของฝ่ายครูเสดในสงครามครั้งที่สองนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความไร้วินัยของทัพครูเสดและการขาดผู้นำที่เข้มแข็งจึงทำให้ต้องพ่ายแพ้แก่ฝ่ายมุสลิม
หลังสงครามครูเสดครั้งที่สองผ่านไป อาณาจักรเยรูซาเล็มยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปี ค.ศ. 1185 ซึ่งในปีดังกล่าว กษัตริย์บอลวินด์ที่ 4 แห่งเยรูซาเล็มได้สิ้นพระชนม์ลงและน้องเขยของพระองค์ กีย์ เดอ ลูซินยองได้ขึ้นครองราชย์แทน ขณะเดียวกันทางฝ่ายมุสลิมก็มีผู้นำคนใหม่คือ ศอเลาะ ฮุดดิน หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ ซาลาดิน สุลต่านพระองค์แรกแห่งราชวงศ์อัยยูบียะ

แต่เดิมนั้น ซาลาดิน เป็นบุตรชายของ อัยยูบ น้องชายของนายพล ชีร์กูฮ์ แม่ทัพสำคัญของสุลต่านนูรุดดีน ทั้งนี้นับแต่ยังหนุ่ม ซาลาดินได้ติดตามลุงของตนออกรบและสร้างผลงานในสงครามหลายครั้งเป็นที่เลื่องลือ จนในภายหลังได้รับตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ครั้นเมื่อสุลต่านนูรุดดีนสิ้นพระชนม์ลงโดยทิ้งราชบัลลังก์ไว้ให้ อัสซาลีห์ โอรสวัยสิบสี่ชันษา ได้มีเหล่าขุนนางจำนวนมากคิดเห็นว่าในภาวะที่กำลังเผชิญหน้ากับพวกครูเสดเช่นนี้ ซาลาดินเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมจะเป็นผู้นำฝ่ายมุสลิมมากกว่าสุลต่านผู้เยาว์วัย อย่างไรก็ตาม ยังมีฝ่ายของอัสซาลีห์ที่ทำการต่อต้านซาลาดินอยู่ จวบจนเมื่อสุลต่านอัสซาลีห์สิ้นพระชนม์ลงในปี ค.ศ. 1181 ด้วยวัยเพียง 19 ชันษา เหล่าผู้ต่อต้านทั้งหมดก็พากันยอมแพ้ต่อซาลาดิน และในปี ค.ศ. 1183 ซาลาดินก็ได้ขึ้นครองราชย์และตั้งราชวงศ์อัยยูบียะขึ้น
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ฝ่ายครูเสดและฝ่ายมุสลิมได้มีข้อตกลงสงบศึกระหว่างกันอยู่ ทว่าหลังจากพระเจ้าบอลวินด์ที่สี่สิ้นพระชนม์ลง และ กีย์ เดอ ลูซินยอง ขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ได้ละเมิดข้อตกลงดังกล่าว โดยกีย์ได้ให้ แม่ทัพของพระองค์คือ เรโนลด์ เดอ ชาร์ติยอง นำกองทหารเข้าปล้นกองคาราวานของฝ่ายมุสลิมที่มีพระขนิษฐา (น้องสาว) ของซาลาดินเดินทางมาด้วย ซึ่งนอกจากจะปล้นทรัพย์สินแล้ว เรโนลด์ยังได้สังหารนางด้วย



 เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ซาลาดินทรงพิโรธมากและเรียกร้องให้ฝ่ายครูเสดรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่ากีย์ได้ปฏิเสธและระดมทหารเตรียมทำสงครามกับฝ่ายมุสลิม โดย กีย์ เดอ ลูซินยอง ได้นำทัพเยรูซาเล็มเข้าปะทะกับกองทัพของซาลาดินที่ทุ่งฮัททีน ซึ่งในการรบครั้งนี้ ฝ่ายเยรูซาเล็มพ่ายแพ้ยับเยิน เรโนลด์ เดอ ชาร์ติยอง ถูกจับและถูกประหาร ส่วนกีย์นั้น ซาลาดีนได้ละเว้นชีวิตและให้คุมขังเป็นเชลย จากนั้นทัพมุสลิมก็เข้าตีนครเยรูซาเล็มและยึดเมืองไว้ได้ในปี ค.ศ. 1187

   สงครามครูเสดครั้งที่สาม
ข่าวเรื่องเยรูซาเล็มถูกฝ่ายมุสลิมยึดกลับไป ทำให้พระสันตปะปาเกรกอรี่ที่ 8 ทรงเรียกร้องให้ชาวคริสต์ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ กองทัพครูเสดนำโดยจัรพรรดิหนึ่งพระองค์ และกษัตริย์สองพระองค์
 ได้แก่ จักรพรรดิเฟรดเดอริคที่ 1 สมญา บาบารอสซา แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าริชาร์ดที่หนึ่ง แห่งอังกฤษ และ พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศส
หลังจากจัดทัพเสร็จแล้ว กองทัพครูเสดก็เคลื่อนกำลังสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าในขณะที่เคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำคาไลแคดนัสในไซลิเซียนั้น จักรพรรดิเฟรดเดอริก บาบารอสซา ทรงพลัดตกจากเรือและจมน้ำสิ้นพระชนม์ทำให้ไพร่พลทั้งสี่หมื่นของพระองค์กระจัดกระจายไปเกือบหมด แม้ว่าจะเสียกองทัพเยอรมันไป แต่กองทหารครูเสดที่เหลือ ก็ยังมีรี้พลเกือบห้าหมื่นนาย กองทัพครูเสดที่นำโดยพระเจ้าริชาร์ดและพระเจ้าฟิลิปสามารถปิดล้อมและยึดเมืองอาเครอได้ ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ก็ทรงถอนทัพกลับ เนื่องจากเกิดความวุ่นวายในฝรั่งเศส จึงเหลือเพียงพระเจ้าริชาร์ดพระองค์เดียวเท่านั้น
พระเจ้าริชาร์ดทรงทำสงครามกับกองทัพของซาลาดินอย่างเข้มแข็งจนได้รับสมญานามว่า ริชาร์ด ใจสิงห์ และแม้ว่ากองทัพของพระองค์จะไม่อาจชิงเยรูซาเล็มกลับคืนมาได้ แต่ความกล้าหาญของพระองค์ก็ทำให้ซาลาดินยอมทำข้อตกลงสงบศึกและยินยอมให้ชาวคริสต์ไปจาริกแสวงบุญยังเยรูซาเล็มได้

   สงครามครูเสดครั้งที่สี่
ในปี ค.ศ. 1202 สันตปะปาอินโนเซนต์ที่ 3 ได้ทรงประกาศสงครามครูเสดครั้งที่สี่ โดยในครั้งนี้ทรงกำหนดให้กองทัพครูเสดยกไปโจมตีอียิปต์ ทว่าเนื่องจากในการเคลื่อนทัพครั้งนี้ บรรดาแม่ทัพนายกองได้เช่าเรือของเจ้าเมืองเวนิสในการเดินทางและไม่มีเงินชำระค่าเช่า ดังนั้นเอนริโก แดนโดโล พ่อค้าคนสำคัญซึ่งเป็นเจ้าเมืองเวนิส จึงให้พวกครูเสดไปโจมตีคอนสแตนติโนเปิลแทนค่าเช่า ทั้งนี้ เพราะอียิปต์เป็นคู่ค้าสำคัญของชาวเวนิส แดนโดโลจึงไม่ต้องการให้พวกครูเสดไปโจมตี ส่วนคอนสแตนติเปิลนั้นมีเมืองท่าสำคัญหลายแห่งซึ่งเป็นที่ต้องการของเวนิสอยู่
ใน เดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1204 กองทัพครูเสดก็ได้ทำลายคอนสแตนติโนเปิลจนย่อยยับและยึดเมืองท่าหลายแห่งไปมอบให้เวนิสแทนค่าเช่า ส่วนทรัพย์สินจำนวนมากได้ถูกทหารครูเสดปล้นสะดมภ์เอากลับไป

หลังจาก ครูเสดครั้งที่สี่ ผ่านไปไม่นาน ในปี ค.ศ.1212 ที่เยอรมันนีและฝรั่งเศสได้มีการจัดตั้งกองกำลังยุวครูเสดขึ้น โดยเด็กชายชาวฝรั่งเศสชื่อ เอเตียง และ เด็กชายชาวเยอรมันชื่อ นิโคลาส ได้อ้างว่าตนได้รับนิมิตจากพระเป็นเจ้าให้ใช้พลังอันบริสุทธิ์ไปชิงนครศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีเด็กชายหญิงหลายพันคนจากทั่วยุโรปตะวันตกมาเข้าร่วมทัพยุวครูเสดและเดินทางไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ ทว่าเด็กเหล่านี้กลับประสบชะตากรรมที่น่าเศร้า โดยเด็กจำนวนมากได้เสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ส่วนพวกที่เหลือก็ถูกพ่อค้าทาสหลอกเอาไปขายเป็นทาสที่อเล็กซานเดรียในอียิปต์ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนำความโศกเศร้ามาสู่เหล่าพ่อแม่ผู้สูญเสียทั้งยังส่งผลให้ศรัทธาในคริสตจักรสั่นคลอน

   สงครามครูเสดครั้งที่ห้า
ในปี ค.ศ.1219 พระสันตปะปาอินโนเซนต์ที่3 ก็ทรงมีพระบัญชาให้พระเจ้าเฟรดเดอริกที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นำทัพครูเสดเข้าสู่สงครามอีกครั้ง เพื่อโจมตีอียิปต์อันเป็นฐานที่มั่นใหม่ของฝ่ายมุสลิม ซึ่งแม้ว่าพระเจ้าเฟรดเดอริกที่สอง จะไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะทำสงครามครั้งนี้ แต่ก็ทรงต้องไปด้วยเกรงว่าจะถูกทางคริสตจักรประกาศขับออกจากศาสนา

กองทัพครูเสดได้เข้ายึดดาเมียตตาในอียิปต์ ทว่าในเวลาต่อมา ก็ได้ทำข้อตกลงสันติภาพกับสุลต่านแห่งอียิปต์โดยฝ่ายมุสลิมจะยินยอมให้ชาวคริสต์เข้าไปแสวงบุญในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้โดยปราศจากการถูกคุกคามใด ๆ
สัญญาสงบศึกในครูเสดครั้งที่ห้า ทำให้ฝ่ายคริสตจักรไม่พอใจเท่าใดนัก ดังนั้นใน ปี ค.ศ. 1248 ทางคริสตจักรจึงมีบัญชาให้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสนำทัพครูเสดไปโจมตีกรุงไคโรในสงครามครูเสดครั้งที่หก ทว่าในครั้งนี้กองทัพครูเสดได้พ่ายแพ้อย่างยับเยินและพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ทรงถูกจับเป็นเชลย ก่อนจะได้รับการปล่อยตัวกลับมา โดยแลกกับค่าไถ่จำนวนมหาศาล
ต่อมา ในปี ค.ศ. 1291 ราชวงศ์มัมลุคซึ่งขึ้นมาปกครองดินแดนอิสลามแทนที่ราชวงศ์อัยยูบียะได้ระดมกองทัพเข้าโจตีดินแดนต่าง ๆ ที่พวกครูเสดตั้งมั่นอยู่ จนสามารถกวาดล้างบรรดานักรบครูเสดลงได้ทั้งหมด ทำให้มหาสงครามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้จบลงโดยสิ้นเชิง

แม้ว่า ในท้ายที่สุด กองทัพครูเสดจะไม่อาจชิงเอาดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาจากฝ่ายมุสลิมได้ ทว่าสงครามครูเสดก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง โดยนอกจากจะช่วยสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของศาสนาอิสลามแล้ว สงครามครูเสดยังเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของระบบฟิวดัลในยุโรป
กล่าวคือการที่ขุนนางและอัศวินจำนวนมากล้มตายในสงคราม ได้ส่งผลให้อิทธิพลของบรรดาขุนนางลดลง ส่งผลให้กษัตริย์สามารถดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางได้มากขึ้น นอกจากนี้ ทรัพย์สินและวิทยาการต่าง ๆ ที่นักรบครูเสดนำกลับมาจากสงคราม ยังช่วยให้ยุโรปมีพัฒนาการทั้งในด้านการค้าและด้านความรู้ จนทำให้ยุโรปก้าวเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาได้ในเวลาต่อมา

   สงครามครูเสดครั้งที่หก
สมเด็จพระจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ทรงมีส่วนบทบาทเกี่ยวข้องเป็นอันมากใน โดยการทรงส่งกองทัพจากเยอรมนีแต่พระองค์มิได้ทรงเข้าร่วมในการยุทธการโดยตรงแม้ว่าจะทรงได้รับการหว่านล้อมจากสมเด็จพระสันตะปาปาโฮโนริอุสที่ 3 และต่อมาสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ก็ตาม เพราะทรงต้องจัดการปัญหาภายในในเยอรมนี และ อิตาลีให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะเข้าร่วมในสงครามครูเสด และทรงให้คำสัญญาว่าจะเข้าร่วมในสงครามหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิโดยพระสันตะปาปาโฮโนริอุสที่ 3 ในปี ค.ศ. 1220 เสียก่อน

ในปี ค.ศ. 1225 พระจักรพรรดิฟรีดริชก็ทรงเสกสมรสกับโยลันเดอแห่งเยรูซาเลม (หรืออิสซาเบลลา) พระธิดาของจอห์นแห่งบริแอนน์ (John of Brienne) กษัตริย์แต่เพียงในนามของราชอาณาจักรเยรูซาเลม และ มาเรียแห่งมอนต์เฟอร์รัต จักรพรรดิฟรีดริชจึงทรงมีสิทธิในการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์เยรูซาเลมที่ยังเหลืออยู่ซึ่งเป็นเหตุผลในการพยายามกู้เยรูซาเลมคืน ในปี ค.ศ. 1227 หลังจากเกรกอรีที่ 9ได้เป็นพระสันตะปาปา จักรพรรดิฟรีดริชและกองทัพของพระองค์ก็เดินทางโดยเรือจากบรินดิซิไปยังอัคโคแต่โรคระบาดที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์จำต้องเดินทางกลับอิตาลี พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 จึงทรงประกาศคว่ำบาตรเพราะจักรพรรดิฟรีดริชทรงบิดพริ้วสัญญาในการเข้าร่วมสงครามครูเสด ซึ่งก็เป็นเพียงข้ออ้างเพราะจักรพรรดิฟรีดริชทรงพยายามรวบรวมอำนาจของพระองค์ในอิตาลีโดยการลิดรอนอำนาจของพระสันตะปาปามาเป็นเวลาหลายปีก่อนหน้านั้นแล้ว


พระสันตะปาปาเกรกอรีทรงกล่าวว่าเหตุผลในการทำการคว่ำบาตรเป็นเพราะจักรพรรดิฟรีดริชไม่ทรงเต็มพระทัยในการเข้าร่วมสงครามครูเสดมาตั้งแต่สงครามครูเสดครั้งที่ 5แล้ว พระสันตะปาปาเกรกอรีการคว่ำบาตรเป็นเพียงข้ออ้างเพราะความกลัวในความทะเยอทะยานของจักรพรรดิฟรีดริชในการขยายอำนาจของพระองค์ในคาบสมุทรอิตาลี จักรพรรดิฟรีดริชทรงพยายามเจรจาต่อรองกับพระสันตะปาปาเกรกอรีแต่ในที่สุดก็ทรงหันหลังให้ และทรงนำทัพไปยังซีเรีย ในปี ค.ศ. 1228 แม้ว่าจะยังทรงถูกคว่ำบาตรก็ตามและเสด็จถึงอัคโคในเดือนกันยายน

   สงครามครูเสดครั้งที่เจ็ด
ภายหลังการสนธิสัญญาระหว่าง เฟรดเดอริค ที่ 2 กับ อัล-คามิล ในครั้งนั้น เยรูซาเล็มก็ถูกชาวมุสลิมยึดกลับไปอีก ในเวลานั้นเป็นสมัยของพระสันตะปาปา อินโนเซนต์ ที่ 4 (Innocent  IV )” ทรงเรียกร้องให้จัดตั้งกองทัพ ครูเสด เพื่อยึด เยรูซาเล็ม กลับคืนอีกครั้ง มีเพียง กษัตริย์ หลุยส์ ที่ 9 แห่ง ฝรั่งเศส (Louise IX of  Freace)” พระองค์เดียวเท่านั้นที่อาสาออกรบ ทั้งที่เพิ่งจะเสร็จสิ้นสงครามที่ยืดเยื้อกับอังกฤษมายาวนาน และยังติดภารกิจออกปราบปรามเขตแดนที่กระด้างกระเดื่องทางตอนใต้ของฝรั่งเศส พระองค์จึงขอยืดเวลาออกไปอีกระยะหนึ่งจนกระทั่งปี ค.ศ. 1249 พระงองค์เลือกนำทัพออกจากเมืองท่าที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่ทางใต้ฝรั่งเศส แทนที่จะเป็นเยนัวหรือเวนิส แต่ก็วางเป้าหมายไว้ที่อียิปต์และยึดเมืองท่าดาเมียตตา

                หลังจากที่ยึดดาเมียตตาได้แล้ว หลุยส์ ที่ 9 ก็นำทัพมุ่งหน้าสู่ไคโร ช่วงนั้นอียิปต์ปกครองโดย สุลต่าน ตุรันชา (Turanshah)” กองทัพ ครูเสด ออกเดินทางสู่ไคโรในปี ค.ศ. 1250 แต่ยังไม่ทันถึง ไคโร ก็ถูกโจมตีโดยทัพมุสลิมนำโดย ไบบาร์ส (Babars)” ขุนพลชาวมุสลิมที่มานซูราห์ (Mansousrah) กองทัพของ หลุยส์ ที่ 9 แพ้ยับเยิน จนแม่ทัพคนสำคัญ คือ โรแบร์ต แห่ง อาร์ทัวส์ (Robert of Artois)” ต้องจบชีวิตลงที่นั้น ดับความหวังที่จะไปถึงไคโรเพียงเท่านั้น แต่ระหว่างทาง หลุยส์ ที่ 9 กำลังล่าถอยทัพกลับดาเมียตตา พระองค์ถูกดักจับและนำไปควบคุมไว้ที่ไคโรในฐานะตัวประกันโดยฝ่ายมุสลิมได้ติดต่อไปยังฝรั่งเศสขอเงินค่าไถ่เพื่อแลกกับการปล่อยพระองค์กลับบ้าน

                หลังจากความพ่ายแพ้ กองทัพ ครูเสด ก็แตกกรสานซ่านเซ็นต่างหนีเอาตัวรอด และหลังจากฝรั่งเศสยินยอมจ่ายค่าประกันเป็นจำนวน800,000 เหรียญทอง ฝ่ายมุสลิมจึงยอมปล่อย หลุยส์ ที่ 9 เป็นอิสระ แต่พระองค์ก็ไม่ยอมกลับบ้าน ยังคงท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อไป อยู่ในซีเรียนานถึง 4 ปี ช่วงเวลานั้น หลุยส์ที่ 9 พยายามสร้างปราการต่างๆในซีเรียให้แข็งแกร่งกว่าเดิมและจัดเตรียมอาวุธ จัดเตรียมกำลังพลโดยรับสมัครผู้อาสามาเป็นทหารนำมาฝึกรบให้เข้มแข็งขึ้น เพราะพระองค์หวังว่าจะเข้าทำศึกกอบกู้เยรูซาเล็มอีกครั้งให้สำเร็จจนได้  จนกระทั้งปี ค.ศ. 1254 พระองค์จึงได้คิดเดินทางกลับฝรั่งเศส

   สงครามครูเสดครั้งที่แปด
เริ่มขึ้นโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1270 บางครั้ง สงครามครูเสดครั้งที่ 8ก็นับเป็นครั้งที่เจ็ด ถ้ารวมสงครามครูเสดครั้งที่ 5 และ ครั้งที่ 6 ของสมเด็จพระจักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เข้าเป็นครั้งเดียวกัน และสงครามครูเสดครั้งที่ 9 ก็นับเป็นครั้งเดียวกับครั้งที่ 8

พระเจ้าหลุยส์ทรงพระราชวิตกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรียเมื่อสุลต่านมามลุคไบบาร์เข้าโจมตีอาณาจักรครูเสดที่ยังเหลืออยู่ ไบบาร์ฉวยโอกาสหลังจากที่สาธารณรัฐเวนิส และ สาธารณรัฐเจนัวต่อสู้กันในสงครามระหว่างปี ค.ศ. 1256 ถึงปี ค.ศ. 1260 ในการโจมตีเมืองท่าในซีเรียที่ทั้งสองสาธารณรัฐควบคุม เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1265 ไบบาร์ก็ยึดนาซาเร็ธ, ไฮฟา, โตรอน และ อาร์ซุฟ ได้ พระเจ้าฮิวจ์ที่ 3 แห่งไซปรัสพระมหากษัตริย์ในนามแห่งราชอาณาจักรเยรูซาเลมขึ้นฝั่งที่อัคโคเพื่อรักษาเมืองขณะที่ไบเบอร์เดินทัพขึ้นไปทางเหนือถึงอาร์มีเนียซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของมองโกล

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่รวบรวมกองกำลังเพื่อเข้าร่วมในสงครามครูเสดครั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1267 แม้ว่าจะไม่มีผู้สนับสนุนเท่าใดนัก นักพงศาวดารฌอนเดอฌวนวิลล์ (Jean de Joinville) ผู้ติดตามพระเจ้าหลุยส์ไปในสงครามครูเสดครั้งที่ 7 ไม่ยอมติดตามไปด้วย พระอนุชาชาร์ลส์แห่งอองชูทรงหว่านล้อมให้พระเจ้าหลุยส์โจมตีตูนิสก่อนเพื่อจะใช้เป็นฐานที่มั่นในการเข้าโจมตีอียิปต์ จุดประสงค์ของพระเจ้าหลุยส์ในการทำสงครามครั้งก่อนหน้านั้น (ครั้งที่ 6) และในครั้งที่ 5ก่อนรัชสมัยของพระองค์ต่างก็พ่ายแพ้ที่นั่น ชาร์ลส์ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งซิซิลีมีพระประสงค์ส่วนพระองค์ในการขยายอำนาจในเมดิเตอเรเนียน กาหลิปแห่งตูนิส Muhammad I al-Mustansirเองก็ทรงมีความสัมพันธ์กับคริสเตียนในสเปนสเปนและถือว่าเป็นผู้ที่จะง่ายต่อการชักชวนให้มานับถือคริสต์ศาสนา ในเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1270 พระเจ้าหลุยส์ก็ทรงขึ้นฝั่งแอฟริกา แต่กองทัพก็ล้มเจ็บกันเป็นแถวเพราะน้ำดื่มที่ไม่สะอาด จอห์น ซอร์โรว์พระราชโอรสที่เกิดที่ดามิเอตตาก็มาสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม และเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม[3] พระเจ้าหลุยส์เองก็เสด็จสวรรคตด้วย “flux in the stomach” หนึ่งวันหลังจากที่พระอนุชาเสด็จมาถึง พระวจนะสุดท้ายคือ เยรูซาเลมชาร์ลส์จึงประกาศให้ฟิลิปพระราชโอรสของพระเจ้าหลุยส์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของฝรั่งเศส แต่ฟิลิปยังทรงพระเยาว์ชาร์ลส์จึงกลายเป็นผู้นำของสงครามครูเสด

แต่กองทหารก็ยังถูกบั่นทอนด้วยโรคร้ายซึ่งทำให้การล้อมเมืองตูนิสต้องยุติลงเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมโดยการตกลงกับสุลต่าน ในข้อตกลงนี้ฝ่ายคริสเตียนสามารถทำการค้าขายอย่างเสรีกับตูนิสได้ และที่พำนักสำหรับนักบวชในเมืองก็ได้รับการการันตี ฉะนั้นสงครามครูเสดครั้งนี้จึงถือว่าได้รับความสำเร็จอยู่บ้าง หลังจากได้รับข่าวการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าหลุยส์แล้วสุลต่านมามลุคไบบาร์แห่งอียิปต์ก็ยกเลิกแผนที่จะส่งกองทัพอียิปต์ไปต่อสู้กับพระเจ้าหลุยส์ในตูนิส[4] ขณะเดียวกันชาร์ลส์ก็ไปเป็นพันธมิตรกับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งอังกฤษผู้เพิ่งเสด็จมาถึง เมื่อชาร์ลส์ยกเลิกการโจมตีตูนิส เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปยังอัคโคที่เป็นที่มั่นครูเสดสุดท้ายในซีเรียด้วยพระองค์เอง ช่วงระยะเวลาจากนั้นถือว่าเป็นช่วงเวลาของสงครามครูเสดครั้งที่ 9

   สงครามครูเสดครั้งที่เก้า
เป็นสงครามครูเสดครั้งสุดท้าย ที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1271ค.ศ. 1272 เป็นสงครามที่ต่อสู้กันในตะวันออกใกล้ระหว่างฝ่ายผู้นับถือคริสต์ศาสนาและฝ่ายผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในสงครามครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ ที่เป็นผลทำให้สงครามครูเสดยุติลงในที่สุดและอาณาจักรครูเสดต่างๆ ในบริเวณลว้านก็สลายตัวไป

ทางฝ่ายคริสเตียนมีกำลังคนทั้งสิ้นประมาณ 60,000 คน โดยมีผู้นำที่รวมทั้ง สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งเนเปิลส์, สมเด็จพระเจ้าฮิวจ์ที่ 3 แห่งไซปรัส, เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งอังกฤษ, โบฮีมอนด์ที่ 6 แห่งอันติโอค, อบาคา ข่านแห่งมงโกเลีย และ สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอาร์มีเนีย

ทางฝ่ายมุสลิมมีกำลังคนที่ไม่ทราบจำนวน โดยมีไบบาร์สเป็นผู้นำ

สงครามครูเสดครั้งที่ 9 บางครั้งก็รวมกับสงครามครูเสดครั้งที่ 8 ถือกันว่าเป็นสงครามครูเสดครั้งสุดท้ายและเป็นสงครามใหญ่สงครามสุดท้ายของยุคกลางในการที่ฝ่ายคริสเตียนพยายามยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 แห่งฝรั่งเศสไม่ทรงสามารถยึดตูนิสได้ในสงครามครูเสดครั้งที่ 8 เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งอังกฤษก็เสด็จไปเอเคอร์เพื่อเข้าร่วมในสงครามครูเสดครั้งที่ 9 แต่เป็นสงครามที่ทางฝ่ายคริสเตียนพ่ายแพ้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพลังใจในการที่จะดำเนินการสงครามเหือดหายไป[3] และเพราะอำนาจของมามลุคในอียิปต์ขยายตัวมากขึ้น[4] นอกจากนั้นผลของสงครามก็นำมาซึ่งการล่มสลายของที่มั่นต่างๆ ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนไปด้วยในขณะเดียวกัน